เมื่อวันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2568 มีแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวในประเทศเมียนมาแผ่ขยายเข้ามาถึงหลายพื้นที่ของประเทศไทย ส่งผลให้เกิดแรงสั่นไหวในอาคารต่าง ๆ และสร้างความกังวลให้กับประชาชนรวมถึงธุรกิจในหลายภาคส่วน แม้ว่าประเทศไทยไม่ถือว่าเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อแผ่นดินไหวสูง แต่ผลกระทบทางธรณีวิทยาจากประเทศเพื่อนบ้านกลายมาเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากขึ้น ซึ่งไม่อาจมองข้ามผลกระทบได้โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาในมุมมองของความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity)
เข้าใจความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย: ภัยเงียบที่ซ่อนอยู่
ประเทศไทยไม่ได้ตั้งอยู่บนขอบของแผ่นเปลือกโลกหลัก แต่ได้รับผลกระทบจากแนวรอยเลื่อนที่ยังมีพลังในประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะเมียนมา นอกจากนี้ ภายในประเทศไทยเองก็มีแนวรอยเลื่อนหลายแห่งที่สามารถทำให้เกิดแผ่นดินไหวได้ โดยเฉพาะในภาคเหนือและตะวันตก
ขั้นตอนการประเมินความเสี่ยงจากแผ่นดินไหว ตามมาตรฐานการบริหารความเสี่ยง ISO 31000:2018
การระบุความเสี่ยง (Risk Identification)
วัตถุประสงค์ของการระบุความเสี่ยงคือการค้นหา การรับรู้ และการอธิบายความเสี่ยง ข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่อัพเดทมีความสำคัญอย่างยิ่งในการระบุความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Analysis)
วัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์ความเสี่ยง คือ การทำความเข้าใจลักษณะของความเสี่ยงนั้นๆ รวมถึงพิจารณาระดับของความเสี่ยงที่เหมาะสม เราจะมาทำการวิเคราะห์ความเสี่ยงจากข้อมูลที่ได้จากการระบุความเสี่ยง (Risk Identification)
แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่มีแหล่งกำเนิดจากภายนอกประเทศส่งแรงสั่นสะเทือนมายังประเทศไทย โดยมีแหล่งกำเนิดจากตอนใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน เมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทะเลอันดามัน ตอนเหนือของเกาะสุมาตรา
แผ่นดินไหวเกิดจากแนวรอยเลื่อนที่ยังสามารถเคลื่อนตัวซึ่งอยู่บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันตกของประเทศ เช่น รอยเลื่อนเชียงแสน รอยเลื่อนแม่ทา รอยเลื่อนแพร่ รอยเลื่อนเถิน รอยเลื่อนเมยอุทัยธานี รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ รอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ รอยเลื่อนคลองมะรุย เป็นต้น
1. ความสูญเสียทางกายภาพ
ภัยแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นมีทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น พื้นดินแยก ภูเขาไฟระเบิด อาคารสิ่งก่อสร้างพังทะลายเนื่องจากแรงสั่นไหว ไฟไหม้ ก๊าซรั่ว คลื่นซึนามิ แผ่นดินถล่ม เส้นทางคมนาคมเสียหาย
2. ความสูญเสียทางด้านร่างกายและจิตใจ
ประชาชนตื่นตระหนกและเกิดความวิตกกังวลถึงการเกิดเหตุซ้ำ ปัญหาด้านสุขภาพจิตของผู้ประสบภัย ความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน
3. ความสูญเสียทางเศรษฐกิจ
การสื่อสารโทรคมนาคมและอินเตอร์เน็ตสัญญาณขาดช่วง คอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายหยุดหรือขัดข้อง การคมนาคมทางบก ทางอากาศชะงัก
ตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์: บริเวณที่มีความเสี่ยงต่อภัยแผ่นดินไหวสูงในประเทศไทยได้แก่
1. บริเวณที่อยู่ใกล้แหล่งกำเนิดแผ่นดินไหวตามแนวรอยเลื่อนทั้งภายในและภายนอกประเทศ ส่วนใหญ่อยู่บริเวณ ภาคเหนือและตะวันตก
2. บริเวณที่เคยมีประวัติหรือสถิติแผ่นดินไหวในอดีตและมีความเสียหายเกิดขึ้น บริเวณนั้นจะมีโอกาสการเกิดแผ่นดินไหวที่มีขนาดใกล้เคียงกับสถิติเดิมได้อีก
3. บริเวณที่เป็นดินอ่อนซึ่งรับการสั่นสะเทือนได้ดี เช่น บริเวณที่มีดินเหนียวอยู่ใต้พื้นดินเป็นชั้นหนาในบริเวณที่ลุ่ม หรืออยู่ใกล้ปากแม่น้ำ
อาคารและสิ่งก่อสร้าง
ประเทศไทยมีประกาศกฎกระทรวง กำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน ความคงทนของอาคารและพื้นดินที่รองรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว เมื่อปี พ.ศ. 2550 และมีการปรับปรุงเมื่อปี พ.ศ.2564 ดังนั้น อาคารที่ก่อสร้างก่อนปี 2550 จึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีความเสี่ยงได้รับผลกระทบ รวมถึงอาคารสูงที่มีการพิจารณาผลกระทบจากแผ่นดินไหวในขั้นตอนการออกแบบแล้วในเบื้องต้น แต่อาจไม่เทียบเท่ากับกฎกระทรวงและมาตรฐานที่มีอยู่ในปัจจุบัน
ความเป็นไปได้ต่ำถึงปานกลาง (เกิดไม่บ่อยแต่เคยเกิดแล้วในอดีต)
อ้างอิงข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาและกรมทรัพยากรธรณี ในรอบ 40 ปี ประเทศไทยมีแผ่นดินไหวขนาดกลาง (5.0-5.9 ริกเตอร์) เกิดขึ้น 8 ครั้ง หรือเฉลี่ย 1 ครั้งในรอบ 5 ปี แบ่งเป็นภาคเหนือ 5 ครั้ง ภาคตะวันตก 3 ครั้ง โดยแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในบ้านเราส่วนใหญ่มีขนาดไม่เกิน 6.0 ริกเตอร์
มาตรฐานการออกแบบอาคารต้านแผ่นดินไหว (เช่น มยผ.1301/1302)
ระบบเตือนภัย (เฉพาะบางพื้นที่ชายฝั่งทะเล)
การเตรียมความพร้อมของหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย (ปภ.) กรมโยธาธิการ อย่างไรก็ตามอาจยังขาดการบังคับใช้และความตระหนักของประชาชนในวงกว้าง
เวลาในการเกิดเหตุไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ ความเสียหายจะเกิดขึ้นทันทีและรุนแรง จึงต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้าและการแจ้งเตือนที่รวดเร็ว
ตัวอย่าง Risk Matrix ในกรณีเหตุแผ่นดินไหว
การประเมินความเสี่ยงของแผ่นดินไหวและผลกระทบขึ้นอยู่กับบริบทในแต่ละองค์กรด้วย ซึ่งตัวอย่างนี้เป็นตัวอย่างในการพิจารณาเบื้องต้น
ตัวอย่างพิจารณา Likelihood: 2 (ไม่ค่อยเกิด แต่มีประวัติเกิดขึ้นในรอบหลายสิบปี) Consequence: 4-5 (ผลกระทบรุนแรง หากเกิดในเมืองหรือใกล้โครงสร้างสำคัญ) ดังนั้น ความเสี่ยงนี้อยู่ที่ (2,4) หรือ (2,5) ซึ่งจัดอยู่ในระดับ Medium หรือ High risk
การแปลความหมาย Risk Level
Low 🟢 หมายถึง ยอมรับได้/เฝ้าระวัง ซึ่งไม่ต้องมีมาตรการเพิ่มเติมมากนัก
Medium 🟡 หมายถึง ควรพิจารณามาตรการลดความเสี่ยง ซึ่งควรจะต้องมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้า
High 🟠 หมายถึง มีความเสี่ยงที่ควรจัดการโดยเร็ว ซึ่งต้องมีแผนรองรับ / จัดเตรียมทรัพยากรสำหรับกรณีเกิดเหตุ
Extreme 🔴 หมายถึง ไม่ยอมรับได้ / ต้องจัดการทันที ซึ่งต้องหลีกเลี่ยงหรือควบคุมความเสี่ยงให้ได้
การประเมินความเสี่ยง (Risk Evaluation)
การประเมินความเสี่ยง (Risk Evaluation) เป็นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการบริหารความเสี่ยงตามมาตรฐาน ISO 31000 ที่ต่อเนื่องจากการวิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Analysis) โดยมีเป้าหมายเพื่อเปรียบเทียบระดับของความเสี่ยงที่ได้วิเคราะห์ไว้ กับเกณฑ์ที่องค์กรยอมรับได้ (Risk Criteria) และตัดสินใจว่า ความเสี่ยงใด “ยอมรับได้” (Acceptable) หรือ “ต้องจัดการทันที” (Unacceptable) เพื่อจัดลำดับความสำคัญในการบริหารจัดการความเสี่ยง
เมื่อองค์กรวิเคราะห์แล้วว่าแผ่นดินไหวสามารถส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอาคาร หรือหยุดชะงักการผลิตได้ ต่อไปต้องประเมินว่า ความเสี่ยงนี้ สูงเกินกว่าที่จะยอมรับได้หรือไม่
ตัวอย่างคำถามที่ใช้ในการประเมินความเสี่ยง:
หากเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.0 แล้วระบบของเราหยุดทำงาน 3 วัน ผลกระทบทางการเงินจะเกินระดับที่องค์กรรับได้หรือไม่?
อาคารที่ใช้อยู่มีความเสี่ยงต่อการพังถล่มในระดับไหน? มีแผนสำรองหรือไม่?
พนักงานรู้วิธีอพยพอย่างปลอดภัยหรือยัง?
ตัวอย่างผลลัพธ์ของการประเมินความเสี่ยง
การจัดการและบรรเทาความเสี่ยง (Risk Treatment)
กระบวนการเลือกและดำเนินการแนวทางที่เหมาะสมเพื่อลดระดับความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ (Acceptable level) หรือเพื่อจัดการผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความเสี่ยงนั้น โดยอิงจากผลของการประเมินความเสี่ยง ISO 31000 ระบุว่าองค์กรสามารถจัดการความเสี่ยงด้วยแนวทางต่อไปนี้
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่นำไปสู่ความเสี่ยง เช่น ไม่สร้างโรงงานในเขตที่มีรอยเลื่อนแผ่นดินไหว หรือ พื้นที่ที่มีความเสี่ยงตามที่ระบุในการวิเคราะห์ความเสี่ยง
เสริมความแข็งแรงของอาคารให้ต้านแผ่นดินไหว
ติดตั้งระบบเตือนภัย
ฝึกซ้อมอพยพฉุกเฉิน
ซื้อประกันภัยแผ่นดินไหว
ใช้ผู้รับเหมาหรือพาร์ทเนอร์รับผิดชอบบางความเสี่ยงในซัพพลายเชน
ในกรณีที่ความเสี่ยงต่ำ และต้นทุนในการลดความเสี่ยงสูงเกินไป องค์กรอาจเลือก "ยอมรับ" และวางแผนรับมือเท่าที่จำเป็น เช่น มีแผนสำรองทำงานจากที่บ้านหากอาคารเสียหาย
ตัวอย่างการจัดการความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวในประเทศไทย
ความเสี่ยงที่พบ:
อาคารสำนักงานตั้งอยู่ใกล้แนวรอยเลื่อน
แนวทางการจัดการความเสี่ยง:
ตรวจสอบโครงสร้าง และปรับปรุงให้ได้มาตรฐานต้านแผ่นดินไหว
ความเสี่ยงที่พบ:
ไม่มีแผนรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉิน
แนวทางการจัดการความเสี่ยง:
จัดทำแผน BCP และซ้อมอพยพเป็นประจำ
ความเสี่ยงที่พบ:
พนักงานไม่รู้ขั้นตอนเมื่อเกิดแผ่นดินไหว
แนวทางการจัดการความเสี่ยง:
จัดอบรม และเสริมสร้างความตระหนักรู้ผ่านการอบรม แผ่นป้ายหรือคู่มือ
ความเสี่ยงที่พบ:
ความเสียหายต่ออุปกรณ์/ระบบ IT
แนวทางการจัดการความเสี่ยง:
จัดทำแผนสำรองข้อมูล และระบบทำงานแบบ Remote
บทสรุป
การวิเคราะห์ความเสี่ยงแผ่นดินไหวในประเทศไทยตามมาตรฐาน ISO 31000 ควรพิจารณาหลายมิติ ทั้งทางวิศวกรรม ธรณีวิทยา เศรษฐกิจ และสังคม โดยใช้ทั้งข้อมูลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณร่วมกัน เพื่อเข้าใจระดับความเสี่ยงและเตรียมแนวทางการจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม